Health

  • หมอนรองกระดูกทับเส้น มีอาการอย่างไร
    หมอนรองกระดูกทับเส้น มีอาการอย่างไร

    หมอนรองกระดูกทับเส้น  ส่วนประกอบตรงใจกลางจะมีลักษณะเป็นของที่มีความหนืดคล้ายเจลลี่เหนียวๆ ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยเส้นใยที่ขึงล้อมหน้าหลังเปรียบเสมือนขอบยางรถยนต์ ซึ่งธรรมชาติสร้างมาเพื่อป้องกันไม่ให้ส่วนที่เป็นเจลลี่แตกออกมา เพราะฉะนั้นความหมายของโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทเปรียบเสมือนยางรถยนต์แตก เจลลี่ที่อยู่ด้านในนั้นจะไหลออกมากดหรือเบียดเส้นประสาทที่อยู่บริเวณนั้นๆ ก่อให้เกิดอาการปวดหลังหรือสะโพกแล้วร้าวไปที่ขานั่นเอง

    หมอนรองกระดูกทับเส้น คืออะไร

    หมอนรองกระดูกทับเส้น เป็นโรคของความเสื่อมอย่างหนึ่ง ปกติแล้วหมอนรองกระดูกสันหลังมีลักษณะคล้าย “โช๊คอัพ” อยู่ระหว่าง กระดูกสันหลัง มีคุณสมบัติในการยืดหยุ่น รองรับแรงกระแทกที่เกิดจากการใช้งานกระดูกสันหลัง ในเวลาที่เคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเดินหรือกระโดด ตอนเราเด็กๆ หนุ่มๆ สาวๆ ภายในหมอนรองกระดูกสันหลังจะมีองค์ประกอบของน้ำเป็นส่วนสำคัญ

    พอนานวันเข้า ของทุกอย่างย่อมเสื่อม เปอร์เซ็นต์ของน้ำในหมอนรองกระดูกสันหลังก็จะลดลง เปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ หมอนรองกระดูกสันหลังของวัยหนุ่มสาวจะเหมือนกับ “ยางลบดินสอ” ที่นิ่ม ในขณะที่หมอนรองกระดูกสันหลังของคนที่มีอายุมากขึ้นจะเหมือนกับ “ยางลบหมึก” ที่ค่อนข้างแข็ง ทำให้ความยืดหยุ่นน้อยลงและเตี้ยลงลักษณะคล้ายกับ “ยางแบน” เมื่อหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทส่วนใด ก็จะมีอาการปวดแสดงออกมาตามแนวของเส้นประสาทนั้น

    บริเวณที่เสื่อมหรือกดทับเส้นประสาทบ่อยที่สุด

    หมอนรองกระดูกสันหลังตรงข้อด้านล่างของกระดูกเอว เป็นจุดที่มีความเสื่อมสูงสุดตามสถิติ และพบการกดทับของเส้นประสาทได้บ่อย รวมถึงหมอนรองกระดูกสันหลังที่คอที่มีโอกาสเสื่อมมากเช่นกันจากการใช้งานหนัก ทั้งนี้หากหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม ยุบตัวลงมา แต่ไม่กดทับเส้นประสาท ผู้ป่วยหมอนรองกระดูกทับเส้นก็อาจจะไม่มีอาการปวดแต่อย่างใด เช่นเดียวกันหากหมอนรองกระดูกยังไม่เสื่อม แต่บังเอิญไปกดทับเส้นประสาทก็จะมีอาการเจ็บปวดตามมา

    ภาวะหมอนรองกระดูกทับเส้นพบมากในวัยใด

    ส่วนใหญ่โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทจะเกิดกับคนไข้ 2 กลุ่ม ที่พบบ่อยคือ

    1. หมอนรองกระดูกทับเส้น กลุ่มผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ซึ่งเริ่มมีความเสื่อมของกระดูกสันหลัง หรือหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมอยู่แล้ว พอออกแรงหรือใช้แรงเบ่งมากๆ อาจทำให้หมอนรองกระดูกสันหลังแตกออกมากดทับเส้นประสาทได้ในทันที เรียกว่า โรคหมอนรองกระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาทชนิดเฉียบพลัน
    2. หมอนรองกระดูกทับเส้น กลุ่มวัยหนุ่มสาวที่มี Activity มากๆ ชอบออกกำลังกายหนักๆ โลดโผน หรือเคยมีอุบัติเหตุ ย่อมมีโอกาสเกิดการบาดเจ็บของหมอนรองกระดูกสันหลังได้ง่ายกว่า เปรียบเทียบง่ายๆ ฝาแฝด 2 คน เหมือนกันทุกอย่าง คนหนึ่งเรียบร้อย อีกคนชอบทำกิจกรรม เล่นบันจี้จัมพ์ อเมริกันฟุตบอล ในบั้นปลายของชีวิต คนที่มี Activity มากจะมีความเสื่อมของหมอนรองกระดูกสันหลังมากกว่า อย่างไรก็ดี คนที่เรียบร้อย หากใช้งานกระดูกสันหลังไม่ถูกต้อง เช่น เป็นพวกออฟฟิศซินโดรม หมอนรองกระดูกสันหลังก็เสื่อมได้เช่นกัน แต่ท้ายที่สุด หมอนรองกระดูกสันหลังของทุกคนต้องเสื่อมสภาพอยู่แล้ว แต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น

    5 วิธีเช็ค หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท

    1. มีอาการปวดสะโพกร้าวลงขา หากมีอาการปวดสะโพกหรือปวดเอวก็ตามแต่ แล้วเกิดร่วมกับอาการร้าวลงขา ไม่ว่าจะข้างใดข้างหนึ่งหรือสองข้างก็ตาม แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดแค่ข้างใดข้างหนึ่ง โดยลักษณะการร้าวลงขา ส่วนใหญ่จะร้าวไปที่ก้น หรือด้านหลังต้นขา ไปที่แถบขางขาหรือหลังขา ซึ่งจะเกิดร่วมกับอาการชาหรือไม่ก็ได้ และส่วนใหญ่อาการจะเป็นหนักตอนที่นั่งนานหรือยืนนานๆ เป็นต้น
    2. อาการอ่อนแรงที่ขาร่วมด้วย  โดยหมอให้เช็คง่ายๆ คือให้ลองกระดกข้อเท้าขึ้นหรือกระดกนิ้วโป้งเท้าขึ้นค้างไว้ หรือว่าถ้ามีเพื่อน อาจจะลองให้เพื่อนใช้มือต้านแรงตอนกระดกข้อเท้าหรือนิ้วโป้งเท้าไว้ เทียบกับอีกข้างที่ปกติก็ได้ ถ้ารู้สึกว่าอ่อนแรงกว่าอีกด้าน นั้นหมายถึงควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วนเลย
    3. ลองให้เพื่อนยกขาในท่านอนหงาย โดยให้เพื่อนใช้มือรองข้อเท้าแล้วยกขึ้นมาจนเข่าเหยียดตรง โดยให้ทิ้งน้ำหนักขาไปที่มือของเพื่อนทั้งหมด ห้ามเกร็งขาหรือออกแรง  ถ้าเกิดแสดงอาการปวดสะโพกร้าวลงขาแล้ว ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทได้
    4. ให้สังเกตเวลา ไอ จาม เบ่ง ว่ามีอาการปวดหลังหรือสะโพกหรือไม่ นั่นอาจแสดงถึงอาการของหมอนรองกระดูกเคลื่อนหรือปลิ้นได้ แต่หากยังไม่มีอาการลงขา ก็อาจจะไม่ได้เคลื่อนหรือปลิ้นไปทับเส้นประสาท หากมีอาการเช่นนี้ควรที่จะต้องปรึกษาแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อขอคำแนะนำในการดูแลตัวเองเพื่อป้องกันไม่ไห้ตัวโรคเป็นไปมากกว่านี้
    5. อาการชาที่ส่วนขา หากไม่แน่ใจว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่ ให้เช็คง่ายๆ โดยการใช้ไม้จิ้มฟัน มาจิ้มบริเวณที่รู้สึกชาเทียบกับขาอีกด้าน หากรู้สึกต่างกัน นั่นอาจบ่งบอกถึงอาการชา ซึ่งอาการชาในหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท อาจไม่ได้มีอาการตลอด แต่อาจเกิดกับบางกิจกรรมหรือบางท่า เช่นการยืนหรือนั่งนานๆ ซึ่งถ้าหากเกิดอาการนี้ขึ้นก็ควรจะมาพบแพทย์เช่นกันเพราะนั่น บ่งบอกถึงการถูกกดทับของเส้นประสาทแล้ว

    เมื่อมีอาการข้างต้น ให้ทำตามวิธีต่อไปนี้

    • ไม่ต้องตื่นตระหนกและกังวลจนเกินเหตุ สำหรับคนที่กลัวว่าจะเป็นอัมพฤตหรืออัมพาต อย่ากังวลมากจนเกินไปครับ เพราะอาการของโรคนี้จะไม่ทำให้เกิดการอ่อนแรงแบบทันทีฉับพลันเหมือนโรคเส้นเลือดในสมอง อาการของโรคทางประสาท
    • หากมีอาการปวดและยังไม่อยากไปโรงพยาบาลในช่วงเวลานี้ ท่านอาจทานยาแก้ปวดได้ในช่วงสั้นๆ ระยะเวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์ เพราะยาบางตัวไม่ควรทานในระยะยาว
    • ถ้าไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจวินิจฉัยแล้ว ท่านอาจได้รับการตรวจเอกเรย์และเอ็มอาร์ไอ ซึ่งการตรวจทั้งสองชนิดในข้อมูลที่แตกต่างกัน
    • ค้นหาต้นเหตุที่มักทำให้เกิดอาการเช่นการนั่งนานหรือการนั่งเก้าอี้ที่ผิดสุขลักษณะ การก้มหลังยกของที่ผิดวิธีมักนำมาซึ่งการกำเริบของตัวโรคได้บ่อยครั้ง และทำการแก้ไข
    • การนอน ควรนอนที่นอนที่ไม่นิ่มและไม่แข็งเกินไป ควรใช้แบบที่กระชับได้สัดส่วนพอดี สำหรับท่านอนนั้น ในกรณีท่านที่นอนหงาย อาจใช้หมอนเล็กๆหนุนใต้หัวเข่าและสำหรับใครที่นอนตะแคงให้หาหมอนมารองระหว่างเข่า 2 ข้าง
    • การกายภาพด้วยตนเองที่บ้านเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการหายของโรค สิ่งที่หมอแนะนำมี 2 ชนิด คือการยืดขาส่วนหลังและยืดกล้ามเนื้อส่วนก้น ส่วนการออกกำลังกายแกนกล้ามเนื้อกลางลำตัวมีความสำคัญมากเช่นกัน ส่วนใหญ่หมอจะแนะนำทำ 2 รอบต่อวัน รอบเช้าและเย็น

    วิธีการรักษาโรคหมอนรองกระดูกทับเส้น

    • ลดน้ำหนักและหลีกเลี่ยงกิจกรรมเสี่ยง

    สำหรับผู้ที่มีปัจจัยการเกิดโรคจากปัญหาน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์ ควรเริ่มต้นการรักษาด้วยการลดน้ำหนักแบบถูกวิธีและปลอดภัย เพื่อไม่ให้ภาวะหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทเป็นมากกว่าเดิม และควรหลีกเลี่ยงการยกของหนักหรือพฤติกรรมเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดอันตรายต่อกระดูกสันหลัง

    • กายภาพบำบัด

    อีกหนึ่งวิธีการรักษาที่ได้ผลและได้รับความนิยมสำหรับผู้ที่อาการหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทไม่รุนแรงคือการทำกายภาพบำบัด ซึ่งจะช่วยลดอาการปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย และทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติอย่างรวดเร็ว โดยใส่อุปกรณ์พยุงหลังร่วมด้วย

    • ยา

    หากมีอาการกระดูกทับเส้นประสาทในหลายๆ ส่วน จนเกิดอาการปวด การใช้ยาลดการอักเสบและยาคลายกล้ามเนื้อ เป็นการรักษาเบื้องต้นตามอาการสามารถช่วยลดอาการปวดและอักเสบได้

    • ผ่าตัด

    เมื่อใช้การรักษาด้วยวิธีข้างต้นแล้วอาการยังไม่ดีขึ้นหรือมีอาการบ่งชี้ถึงความรุนแรงของโรค เช่น ขับถ่ายลำบาก หรือปวดจนไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ แพทย์จะแนะนำให้ผ่าตัดเพื่อรักษาโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์สามารถช่วยให้การผ่าตัดกระดูกสันหลังมีความปลอดภัยและแม่นยำมากขึ้น ช่วยให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กลง เสียเลือดน้อย ลดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ ช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วและลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

    หมอนรองกระดูกทับเส้น

    ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการรักษา

    ทุกวันนี้มีการพัฒนาเทคโนโลยีการรักษาโรคใหม่ๆ ออกมาตลอดเวลา แต่ทุกเทคโนโลยีต่างก็มีข้อดี ข้อจำกัดเฉพาะของแต่ละวิธี เทคโนโลยีที่พูดถึงกันมากในช่วง 5 – 10 ปีที่ผ่านมา คือ การผ่าตัดหมอนรองกระดูกผ่านกล้อง Microscope กำลังขยายสูง และการผ่าตัดผ่านกล้อง Endoscope ซึ่งสามารถใส่เครื่องมือผ่าตัดผ่านกล้องเข้าไปหยิบหมอนรองกระดูกที่แตกออกได้โดยตรง

    ข้อดีคือแผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก แต่เวลาผ่าตัด ด้วยเทคโนโลยีทำให้สามารถมองเห็นเส้นประสาทและหมอนรองกระดูกที่ต้องการแก้ไขได้ชัดเจนกว่ามองด้วยตาเปล่า ซึ่งการผ่าตัดที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทและไขสันหลัง หากพลาดพลั้งอาจทำให้เป็นอัมพาตได้

    การบาดเจ็บต่อกล้ามเนื้อและอวัยวะข้างเคียงน้อย ทำให้ระยะฟื้นตัวสั้น ผู้ป่วยเจ็บน้อย หายไว กลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้โดยเร็ว แต่จะใช้เทคโนโลยีใดในการรักษานั้น ทีมแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยและเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยคำนึงถึงการรักษาซึ่งเน้นการแก้ปัญหาที่สาเหตุเป็นหลัก

    การฟื้นฟูและการปฏิบัติตัวหลังการรักษา

    หลังการผ่าตัดนำหมอนรองกระดูกทับเส้นสันหลังที่กดทับเส้นประสาทออก ผู้ป่วยก็จะหายปวด แต่ควรได้รับการฟื้นฟูร่างกายภายใต้คำแนะนำของนักกายภาพบำบัดที่จะสอนวิธีดูแลสุขภาพหลังอย่างถูกต้อง การออกกำลังกายเพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อหลัง ช่วยในการพยุงกระดูกสันหลัง การปรับเปลี่ยนท่าทางที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น การยกของหนัก กรณีผู้บริหารควรระวังเรื่องการนั่งนานๆ ควรเปลี่ยนเก้าอี้ที่เหมาะสม หาที่รองหลังมาเสริม และไม่ควรนั่งท่าเดิมนานเกิน 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันไม่ให้กลับมาเจ็บปวดทรมานด้วยโรคนี้อีก สำหรับคุณผู้หญิง กระเป๋าสะพายหนักๆ รองเท้าส้นสูง อาจไม่ส่งผลต่อหมอนรองกระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาท แต่มีส่วนทำให้หมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมได้เร็ว ซึ่งรวมถึงการสูบบุหรี่ การมีน้ำหนักตัวที่มากด้วย

    โรคหมอนรองกระดูกทับเส้น กินยาบรรเทาได้

    การรักษาโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทด้วยการใช้ยา ต้องประกอบไปด้วยการใช้ยาหลายชนิดเพื่อเสริมการออกฤทธิ์ระหว่างกัน (Synergistic effect) และลดผลข้างเคียง (Side effect) ของการใช้ยาตัวใดตัวหนึ่งในปริมาณที่มากเกินไป

    โดยยาที่ใช้ในการรักษาโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ประกอบไปด้วยยากลุ่มหลักๆ ดังนี้

    1. NSAIDS (Non-Steroidal anti-inflammatory drugs)

    เป็นยาในกลุ่มลดอาการปวดและอาการอักเสบซึ่งไม่ใช่สเตียรอยด์ โดยยากลุ่มนี้มักถูกเลือกเป็นยาหลักกลุ่มแรกๆในการรักษาอาการปวดจากหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ตัวอย่างของยาในกลุ่มนี้ได้แก่  Aspirin, Iburpofen, Diclofenac, Naproxen, Indomethacin, Meloxicam, Celecoxib (Celebrex), Etoricoxib (Arcoxia) ผลข้างเคียงที่สำคัญของยาในกลุ่มนี้ได้แก่ การกัดกระเพาะอาหารและการขับออกทางไต จึงมีความจำเป็นต้องระวังการใช้ยาในกลุ่มผู้ป่วยที่มีแผลในกระเพาะอาการ กระเพาะอาหารอักเสบ หรือเป็นโรคไต โดยยากลุ่ม NSAIDS นี้ยังสามารถแบ่งย่อยออกได้เป็นอีก 2 กลุ่ม ได้แก่

    1.1 NSAIDS กลุ่ม COX-1 Inhibitor ได้แก่ Aspirin, Iburpofen, Diclofenac, Naproxen, Indomethacin ยาในกลุ่มนี้มีผลข้างเคียงในเรื่องการกัดกระเพาะค่อนข้างมาก ดังนั้นผู้ป่วยที่มีแผลในกระเพาะอาการ หรือเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบอยู่เดิม อาจจำเป็นต้องได้รับยาลดกรดในกระเพาะควบคู่กันไปด้วย

    1.2 NSAIDS กลุ่ม COX-2 Inhibitor ได้แก่ Celecoxib (Celebrex), Etoricoxib (Arcoxia) เป็นยาที่มีฤทธิ์กัดกระเพาะน้อยกว่ายาในกลุ่ม COX-1 Inhibitor แต่อย่างไรก็ตามยาในกลุ่มนี้มีความจำเป็นต้องระมัดระวังการใช้ ในผู้ป่วยที่มีโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมได้ไม่ดีและผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

    2. ยาลดอาการปวดจากเส้นประสาท (Neuropathic pain)

    ยาในกลุ่มนี้ได้แก่ยา Gabapentin, Neurontin และ Pregabalin (Lyrica, Brillior) ยาในกลุ่มนี้ช่วยลดอาการปวดจากโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทได้ค่อนข้างดี เพราะมีฤทธิ์ลดการส่งสัญญาณความปวดจากเส้นประสาทที่โดนกดทับ ส่วนผลข้างเคียงที่พบบ่อยได้แก่อาการง่วง เวียนหัว อ่อนเพลีย แขนขาบวม นอกจากนี้ในผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตบกพร่อง จำเป็นต้องมีการปรับลดปริมาณยาที่ใช้ลง ดังนั้นการใช้ยาในกลุ่มนี้จึงควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์

    3. ยาคลายกล้ามเนื้อ (Muscle Relaxants)

    เป็นยาที่ช่วยลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณหลัง สะโพก และขา เพื่อช่วยลดอาการปวดที่เกิดจากการตึงตัวของกล้ามเนื้อที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ยาในกลุ่มนี้ได้แก่ Norgesic Mydocalm Myonal เป็นต้น โดยยาในกลุ่มยาคลายกล้ามเนื้อนี้มีผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยคืออาการง่วง ซึม เวียนหัว มึนงง ท้องผูก ปัสสาวะลำบาก ปากแห้งและคอแห้ง จึงควรระมัดระวังการใช้ยากลุ่มนี้ในผู้ป่วยหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทที่ต้องทำงานกับเครื่องจักรอันตราย หรือต้องขับรถยนต์

    4. ยาแก้ปวดกลุ่ม Opioids

    เป็นยาแก้ปวดที่มีฤทธิ์แรงเพราะเป็นสารสกัดอนุพันธ์จากมอร์ฟีน ส่วนใหญ่แพทย์จะจ่ายยาแก้ปวดในกลุ่มนี้ให้แก่ผู้ป่วยหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทที่มีอาการปวดมากและไม่ตอบสนองต่อการให้ยาในกลุ่มอื่น โดยยาในกลุ่มนี้ได้แก่ Tramadol Ultracet Duocetz เป็นต้น ส่วนผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยได้แก่อาการเวียนหัว คลื่นไส้อาเจียน และท้องผูก นอกจากนี้ข้อควรระวังที่สำคัญที่สุดในการใช้ยากลุ่มนี้คือการเสพย์ติด ถ้ามีการใช้ยาต่อเนื่องเป็นเวลานาน ดังนั้นการใช้ยาในกลุ่มนี้จึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ และจะพบว่ายากลุ่มนี้จะไม่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ต้องได้รับใบสั่งยาที่ออกจากแพทย์ในโรงพยาบาลเท่านั้น

     

    ร่างกายไม่สามารถที่จะเปลี่ยนหลังหรือเปลี่ยนกระดูกสันหลังใหม่ได้ วิธีการรักษาเป็นเพียงการแก้ไขส่วนที่เสื่อมสภาพเท่านั้น ดังนั้นต้องเข้าใจว่าสุขภาพหลังนับวันมีแต่จะเสื่อมลง ดังนั้น หากมีอาการผิดปกติที่เกี่ยวกับกระดูกสันหลังไม่ควรปล่อยไว้ หรือหากเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทไม่ควรรักษาด้วยวิธีผิดๆ เพราะอาจบาดเจ็บมากขึ้น จนส่งผลให้การรักษาทางการแพทย์ทำได้ยากและใช้เวลานานขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อวินิจฉัยและรักษาโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นอย่างถูกวิธี

     

    เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    ที่มาของบทความ

     

    ติดตามเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพได้ที่  gogo-asuka.com

    สนับสนุนโดย  ufabet369

Economy

  • อัตราดอกเบี้ย: การเพิ่มขึ้นกระทบต่อคุณและเงินของคุณอย่างไร
    อัตราดอกเบี้ย: การเพิ่มขึ้นกระทบต่อคุณและเงินของคุณอย่างไร

    ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษคาดว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 13 ติดต่อกันในวันพฤหัสบดีเนื่องจากพยายามที่จะหยุดการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว

    อัตราดอกเบี้ยของธนาคารที่กำหนดโดยคณะกรรมการนโยบายการเงินปัจจุบันอยู่ที่ 4.5%

    การเปลี่ยนแปลงใด ๆ อาจหมายถึงความเจ็บปวดเพิ่มเติมสำหรับเจ้าของบ้านบางคน แต่อาจเป็นประโยชน์ต่อการประหยัด

    อัตราดอกเบี้ยจะสูงแค่ไหน?

    อัตราของธนาคารอยู่ในระดับสูงสุดมาแล้วประมาณ 15 ปี ซึ่งเพิ่มขึ้นเพื่อพยายามชะลอการเพิ่มขึ้นของค่าครองชีพ

    ทฤษฎีคือการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยทำให้การกู้ยืมเงินมีราคาแพงขึ้น หมายความว่าผู้คนมีการใช้จ่ายน้อยลง ทำให้อุปสงค์ลดลงและการขึ้นของราคาช้าลง

    มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารหลายครั้งตั้งแต่เดือนธันวาคม 2021 โดยพยายามควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งแสดงแผนภูมิราคาที่สูงขึ้น เป้าหมายอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 2%

    แต่ถึงตอนนี้ ผลกระทบยังมีจำกัดและน่าจะต้องใช้เวลามากกว่านี้ในการป้อนให้ผ่าน

    ราคาเพิ่มขึ้น 8.7% ในปีจนถึงเดือนพฤษภาคม ตามข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ (ONS) เช่นเดียวกับเดือนก่อนหน้า แต่ลดลงจากระดับสูงสุดที่ 11.1%

    มีความกังวลเป็นพิเศษเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน

    ซึ่งเป็นมาตรวัดที่ตัดปัจจัยที่ผันผวน เช่น อาหารและพลังงาน ซึ่งกำลังเพิ่มขึ้น

    ผลที่ตามมาคือความไม่แน่นอนเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนเชื่อว่าอาจมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่านี้

    ธนาคารต้องสร้างสมดุลระหว่างความเสี่ยงที่จะทำลายเศรษฐกิจซึ่งมีสัญญาณการเติบโตเพียงเล็กน้อย กับการต่อสู้เพื่อชะลอการขึ้นของราคา

    คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารมีการประชุมแปดครั้งต่อปีเพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายอัตราดอกเบี้ย

    อัตราดอกเบี้ย: การเพิ่มขึ้นกระทบต่อคุณและเงินของคุณอย่างไรอัตราดอกเบี้ยมีผลกระทบต่อฉันอย่างไร?

    การจำนอง

    ครัวเรือนเพียงหนึ่งในสามมีภาระจำนอง ตามการสำรวจที่อยู่อาศัยของรัฐบาลอังกฤษ

    เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ผู้คนมากกว่า 1.4 ล้านคนที่ใช้ข้อเสนอแบบติดตามและแบบอัตราผันแปรมักจะเห็นการชำระเงินรายเดือนเพิ่มขึ้นในทันที

    การเพิ่มอัตราธนาคารเป็น 4.75% จาก 4.5% หมายความว่าผู้ที่จำนองติดตามทั่วไปจะจ่ายเพิ่มขึ้นประมาณ 24 ปอนด์ต่อเดือน ผู้ที่จำนองอัตราผันแปรมาตรฐานจะเผชิญกับการกระโดด 15 ปอนด์

    สิ่งนี้มาจากการเพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของอัตราล่าสุดก่อนหน้านี้ เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเดือนธันวาคม 2021 ลูกค้าจำนองติดตามโดยเฉลี่ยจะจ่ายเพิ่มขึ้นประมาณ 441 ปอนด์ต่อเดือน และผู้ถือจำนองอัตราผันแปรเพิ่มขึ้นประมาณ 282 ปอนด์

    สามในสี่ของลูกค้าจำนองถือจำนองอัตราคงที่ การชำระเงินรายเดือนของพวกเขาอาจไม่เปลี่ยนแปลงทันที แต่ผู้ซื้อบ้าน – หรือใครก็ตามที่ต้องการจำนองใหม่ซึ่งคาดว่าจะมี 1.8 ล้านคนในปีนี้ – จะต้องจ่ายเงินมากขึ้นกว่าที่พวกเขาได้ทำการจำนองเดียวกันเมื่อปีที่แล้วหรือมากกว่านั้น

    ที่เรียกว่า “จำนองระเบิด” ได้กลายเป็นประเด็นใหญ่ทางเศรษฐกิจและการเมือง

    ข้อตกลงคงที่เฉลี่ยสองปีซึ่งอยู่ที่ 2.29% ในเดือนพฤศจิกายน 2564 สูงกว่า 6% แล้ว

    เมื่อผู้คนนำข้อเสนออัตราคงที่ราคาถูกไปใช้กับผลิตภัณฑ์ที่มีราคาสูงกว่ามาก การชำระคืนรายเดือนของพวกเขาอาจแพงขึ้นหลายร้อยปอนด์

    สถาบันเพื่อการศึกษาการคลัง ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระด้านเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นด้านเศรษฐศาสตร์ทางการเมือง กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นอาจหมายถึงผู้ถือสินเชื่อบ้าน 1.4 ล้านคนเห็นว่ารายได้ทิ้งของพวกเขาลดลงมากกว่า 20%

    คุณสามารถดูว่าการจำนองของคุณอาจได้รับผลกระทบจากอัตราที่เพิ่มขึ้นด้วยเครื่องคำนวณของเราด้านล่าง

    บัตรเครดิตและสินเชื่อ

    อัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศอังกฤษยังมีอิทธิพลต่อจำนวนเงินที่เรียกเก็บจากสิ่งต่างๆ เช่น บัตรเครดิต สินเชื่อธนาคาร และสินเชื่อรถยนต์

    ก่อนการตัดสินใจครั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยต่อปีในเดือนเมษายนอยู่ที่ 21.86% สำหรับเงินเบิกเกินบัญชีธนาคาร และ 20.13% สำหรับบัตรเครดิต

    ผู้ให้กู้สามารถตัดสินใจขึ้นราคาได้หากคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้นในอนาคต

    ออมทรัพย์

    ธนาคารส่วนบุคคลและสมาคมอาคารมักจะส่งต่ออัตราดอกเบี้ยให้กับลูกค้า ข้อเสนอที่เสนอตอนนี้ดีกว่าสิ่งที่เห็นมานานหลายปี

    นักวิเคราะห์กล่าวว่าผู้คนควรจับจ่ายเพื่อให้ได้อัตราการออมที่ดีกว่า โดยหลายคนจ่ายเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยในบัญชีจำนวนมาก ธนาคารรายใหญ่ได้รับแรงกดดันจาก MPs ให้ผ่านการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

    แม้ว่านี่หมายความว่าผู้ออมจะได้รับผลตอบแทนจากเงินที่สูงกว่า แต่อัตราดอกเบี้ยก็ไม่สอดคล้องกับราคาที่สูงขึ้น

    ซึ่งหมายความว่ามูลค่าของการออมเงินสด – กำลังซื้อ – กำลังลดลงตามความเป็นจริง

    ทำไมราคาถึงเพิ่มขึ้น?

    ธนาคารได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับราคาที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเรียกว่าอัตราเงินเฟ้อ

    ราคาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลกเนื่องจากข้อจำกัดของโควิดผ่อนคลายลงและผู้บริโภคใช้จ่ายมากขึ้น

    หลายบริษัทประสบปัญหาในการจัดหาสินค้าให้เพียงพอต่อการขาย ต้นทุนน้ำมันและก๊าซสูงกว่าที่เคยเป็น ปัญหาที่เลวร้ายยิ่งขึ้นจากการรุกรานยูเครนของรัสเซีย

    แม้ว่าองค์ประกอบหลายอย่างของอัตราเงินเฟ้อจะเป็นระดับโลก แต่ก็มีข้อกังวลว่าองค์ประกอบบางอย่างมาจากภายในประเทศ เช่น ค่าจ้างที่สูงขึ้น

    นับตั้งแต่วิกฤตการเงินโลกในปี 2551 อัตราดอกเบี้ยของสหราชอาณาจักรอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ อัตราอยู่ที่ 0.1% ในปี 2564

    ประเทศอื่น ๆ กำลังขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่?
    สหราชอาณาจักรได้รับผลกระทบจากราคาที่สูงขึ้นทั่วโลก ดังนั้นจึงมีข้อจำกัดว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหราชอาณาจักรจะมีประสิทธิภาพเพียงใด

    อย่างไรก็ตาม ประเทศอื่นๆ ก็ใช้แนวทางเดียวกันนี้ และกำลังปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเช่นกัน

    ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ ซึ่งได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลักสู่ระดับที่ไม่เคยเห็นมานานถึง 16 ปี แม้ว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งล่าสุดก็ตาม

    ธนาคารกลางยุโรปเพิ่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลักในยุโรป 1 ใน 4 ของจุดเปอร์เซ็นต์เป็น 3.25%

    ธนาคารกลางอื่น ๆ ทั่วโลกก็ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเช่นกัน เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงก่อให้เกิดปัญหาในประเทศเศรษฐกิจหลัก

    เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจในเว็บของเรา

    คาร์ราเกอร์ ชี้ 1 แข้งจุดอ่อน ลิเวอร์พูล ต้องขายด่วน

    ดีเอโก้ พาบาเลนเซียชนะเรอัลมาดริดเมื่อวินิซิอุสจูเนียร์โดนไล่ออก

    บุสเก็ตส์ยกย่อง ‘เป๊ป กวาร์ดิโอล่า’ เป็นโค้ชที่ดีที่สุด

    นักเตะตอบแทนแฟนบอลของ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์

    Suwon Samsung อาจเผชิญกับการตกชั้นโดยตรงในครั้งนี้

    ขอบคุณรูปภาพจาก pexels.com

    แหล่งที่มา https://www.bbc.com/news/business

    สามารถติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ gogo-asuka.com